ผู้เขียน: admin

เมื่อต้องพาผู้สูงอายุไปหาซื้อใช้เครื่องช่วยฟัง ควรทำอย่างไร

ไม่ใช่คนที่พิการด้านการได้ยินเท่านั้นที่จะใช้เครื่องช่วยฟังได้ ผู้สูงอายุที่มีอายุมากแล้วประสิทธิภาพของการได้ยินเสียงย่อมลดลงตามไปด้วย  ซึ่งเราเองที่เป็นลูกเป็นหลานเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับท่านบางครั้งอาจรู้สึกรำคาญเวลาที่ต้องคุยกับท่านเพราะต้องตะโกนเสียงดังและใช้เวลานานกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง และหากเป็นเช่นนั้นบ่อยๆ ทั้งตัวเราและผู้สูงอายุจะเริ่มเบื่อที่ต้องพูดคุยกันแล้วจะทำให้มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวตามมา

ดังนั้น หากเราพบคนในครอบครัวของเรามีปัญหาการได้ยินลดลงหรือที่เรียกว่าหูตึก เราควรใส่ใจพวกท่านด้วยการพาท่านไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา หรือหาซื้อเครื่องช่วยฟัง มาให้ท่านใช้เพื่อท่านจะได้ไม่รู้สึกแปลกแยกกับคนในครอบครัว และปัญหาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวก็จะไม่เกิดขึ้น หลายครั้งที่ผู้อายุมักจะนั่งเหงาอยู่คนเดียวเพราะคนในครอบครัวหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามาพูดคุยด้วย

เพราะปัญหาคุยกันแล้วไม่เข้าใจ ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้บ่อยๆ ผู้สูงวัยจะรู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้งและมีปัญหาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตามาได้

       การหาซื้อเครื่องช่วยฟังนั้น ปัจจุบันมีช่องทางจำหน่ายเครื่องช่วยฟัง หลากหลาย ทั้งจากโรงพยาบาล ร้านค้า หรือซื้อเครื่องช่วยฟังผ่านร้านค้าออนไลน์ก็ทำได้ง่ายๆ อีกทั้งแต่ละที่ที่จำหน่ายก็จะมีการสอนวิธีการใช้งาน การดูแลรักษาเครื่องช่วยฟังให้เราทราบ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะใช้เครื่องช่วยฟังอีกต่อไป 

       การซื้อเครื่องช่วยฟังให้คนสูงอายุใช้งานนั้น ในขั้นตอนของการซื้อควรพาท่านไปด้วย เพื่อให้ท่านเลือกและทดลองใช้เครื่องช่วยฟังที่ท่านชอบ ใช้แล้วท่านถนัด เพราะเครื่องช่วยฟังมีราคาสูงดังนั้นหากจะต้องซื้อทั้งทีควรซื้อตามที่ผู้จะใช้งานพึงพอใจ บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดี คนที่ใช้งานจริงๆอาจไม่ชอบก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วคนสูงอายุจะเลือกเครื่องช่วยฟังที่สามารถใช้งานได้ง่ายไม่ยุ่งยาก เพราะพวกท่านเองก็ชรามากแล้วหากซื้อเครื่องไหนที่ใช้งานยาก การดูแลรักษายาก ท่านอาจจะไม่อยากใช้และหากเราบังคับซื้อมาก็จะทำให้เราเสียเงินฟรีๆได้

        หากว่าผู้สูงอายุกลัวการใช้เครื่องช่วยฟัง เราควรแนะนำให้ท่านลองศึกษาอุปกรณ์ชิ้นนี้ก่อน บอกถึงข้อดีของอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่าจะช่วยให้การใช้ชีวิตของพวกท่านง่ายขึ้นแค่ไหน และบอกถึงผลเสียหากท่านไม่ใช้เครื่องช่วยฟังแล้วจะเป็นอย่างไร หารูปภาพการใช้งานเครื่องช่วยฟังให้ท่านดูว่าที่จริงแล้ว เครื่องช่วยฟัง สามารถใช้งานได้ง่ายแค่ไหน เชื่อว่าหากพวกท่านเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องช่วยฟัง รวมถึงหลักและวิธีการใช้งานที่ถูกต้องแล้ว ท่านจะเห็นถึงข้อดีและยอมใช้เครื่องช่วยฟังอย่างแน่นอน 

น้ำลายแมว มีเชื้อแบคทีเรีย เสี่ยงโรคไฟลามทุ่ง

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เตือนอันตรายจากการให้แมวเลียหน้า เนื่องจากแบคทีเรียในน้ำลายแมวจะเข้าสู่รอยแผลกระตุ้นให้เกิดโรคติดเชื้อทางผิวหนัง และอาจมีอันตรายถึงกับขนาดทำให้เสียชีวิตได้

อธิบดีกรมการแพทย์ เผยออกมาว่า จากกรณีการเสนอข่าวสารว่ามีการรักษาสิวบนบริเวณใบหน้าที่น่าตกตะลึงของหญิงชาวอินโดนีเซีย โดยมีการให้แมวแท็บบี้นั่งบนตำราเรียน และก็รอเลียบริเวณใบหน้าขณะเรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน เป็นเวลาถึง 3 เดือน ปรากฏว่าสิวบนบริเวณใบหน้าน้อยลง บริเวณใบหน้าดียิ่งขึ้นภายหลังจากให้แมวที่เลี้ยงเลียบริเวณใบหน้าแต่ละวัน จากข้อมูลดังที่กล่าวผ่านมาแล้วพบว่าในโพรงปากของแมว รวมทั้งในน้ำลายแมว จะมีแบคทีเรียประจำถิ่นไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งแบคทีเรียนี้ ไม่ก่อโรคในแมว ทั้งนี้หากว่าแมวกัดคนเป็นแผลรอยเขี้ยว แบคทีเรียในน้ำลายจะเข้าสู่คนทางรอยแผล ทำให้ติดโรคเป็นโรคไฟลามทุ่ง (Cellulitis) ถ้าเกิดรักษาไม่ทัน แบคทีเรียนั้นอาจจะลุกลามเข้ากระแสโลหิต ทำให้เสียชีวิตได้

น้ำลายแมว มีเชื้อแบคทีเรีย เสี่ยงโรคไฟลามทุ่ง
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มว่า คนที่ชอบจะให้แมวเลียสิวบนบริเวณใบหน้า แบคทีเรียในน้ำลายแมวบางทีอาจผ่านสะเก็ดแผลเล็กๆ บนตุ่มสิวทำให้ติดเชื้อโรคเป็นโรคไฟลามทุ่งได้ ก็เลยไม่สมควรให้แมวเลียที่บริเวณใบหน้า หากแม้ไม่เป็นสิว แบคทีเรียบางทีอาจผ่านแผลเล็กๆ หรือเยื่อบุปาก เยื่อบุจมูกได้ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำปรึกษาเพิ่มอีกว่า คนที่เป็นสิวน้อย สามารถดูแลเองด้วยแนวทางล้างชำระล้าง ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าล้างตาวันละ 2 ครั้ง ห้ามบีบแกะสิว ถ้าเกิดเป็นสิวมากมาย มีตุ่มแดง ตุ่มหนอง ควรจะไปพบหมอ ห้ามซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง เนื่องจากว่าบางทีอาจแพ้ยา และกลายเป็นเชื้อดื้อยาได้

การโน้มน้าวผู้สูงอายุให้ใช้เครื่องช่วยฟัง

หลายคนคงรู้จักเครื่องช่วยฟังว่าคืออะไรมีประโยชน์อย่างไรมาบ้างแล้ว

ซึ่งเมื่อทราบคุณสมบัติของเจ้าเครื่องนี้ต่างก็จะเห็นประโยชน์ของการใช้งาน ในสำหรับผู้ป่วยวัยทำงาน พวกเขาเหล่านั้นสามารถใช้เครื่องช่วยฟังในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขและไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับผู้สูงอายุแล้ว เรามักพบปัญหาว่าจะให้พวกท่านใช้เจ้าเครื่องช่วยฟังนี้ได้ยากมาก

เพราะคนสูงอายุส่วนมากจะไม่ชอบใช้อะไรที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะกลัว และแน่นอนคนสูงอายุส่วนใหญ่ไม่อยากใช้อะไรให้ยุ่งยาก กลัวลืมวิธีการใช้ กลัวเครื่องจะแพง กลัวใช้แล้วเครื่องเสีย และยิ่งถ้าหากวิธีการเก็บรักษายุ่งยากอีกละก็ ส่วนใหญ่จะไม่ยอมใช้เลย ดังนั้นวันนี้เราจึงมาแนะนำวิธีการดีๆ เพื่อเปลี่ยนใจให้ผู้อายุหันมาสนใจใช้เจ้าเครื่องช่วยฟังนี้ได้อย่างไร

สำหรับผู้สูงอายุแล้ว ยิ่งอายุมากการทำงานของอวัยวะภายในหูก็จะเสื่อมลงทำให้ประสิทธิภาพการได้ยินลดลงด้วย

ดังนั้นเราควรใส่ใจพวกท่านด้วยการพาพวกท่านไปตรวจกับแพทย์ที่โรงพยาบาลที่เป็นแพทย์เฉพาะทางให้แพทย์ชี้แจงถึงปัญหาที่พวกท่านกำลังเป็นอยู่ แพทย์จะอธิบายถึงข้อดีและข้อเสียของการไม่ยินเสียงให้พวกท่านได้ฟัง ซึ่งผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะเชื่อฟังแพทย์มากกว่าเชื่อฟังลูก แต่หากผู้สูงอายุไม่ยอมที่จะไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล

เราสามารถตรวจสอบด้วยตนเองเบื้องต้นก่อนผ่าน Application ที่ชื่อว่า eartone ซึ่งเป็น application สำหรับตรวจวัดค่าการได้ยินเสียงโดยสามารถดาวน์โหลด application นี้มาไว้ที่มือถือ แล้วทำการทดสอบการได้ยินเสียงของพ่อ แม่ พี่น้องคนรอบข้างของเราได้เลย ซึ้งขั้นตอนในการทดสอบไม่ยุ่งยากและไม่น่ากลัว ลักษณะของการทดสอบการฟังจะเหมือนกับเราฟังเพลง และเมื่อทำการทดสอบเสร็จ เราสามารถส่งผลการทดสอบไปให้กับแพทย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับหูโดยตรงทำการวินิจฉัย และทางแพทย์ก็จะส่งผลกลับมาให้ทราบ

หลังจากนั้นเราก็สามารถนำผลการทดสอบนี้ให้ผู้สูงอายุดูและแนะนำเครื่องช่วยฟังให้ทราบรู้จัก พร้อมถึงวิธีการใช้งานว่าที่จริงแล้วไม่ยุ่งยากอย่างที่พวกท่านเป็นกังวล 

เราสามารถหาข้อมูลให้พวกท่านดูก่อนได้ผ่านเว็บไซต์ที่มีการจำหน่ายเครื่องช่วยฟัง เพราะในเว็บไซต์เหล่านี้จะมีการแนะนำหลักการใช้งาน ขั้นตอนการทำงานของเครื่องช่วยฟัง พร้อมกับอธิบายถึงข้อดีที่พวกท่านได้รับหากมีการใส่เครื่องช่วยฟัง เช่น ท่านจะได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นเหมือนปกติ ไม่ต้องตะโกนเสียงดังให้คนอื่นรำคาญ และที่สำคัญการสื่อสารระหว่างพวกท่านกับคนอื่นจะได้ไม่มีปัญหาอีกต่อไป ซึ่งหากพวกท่านรับทราบข้อมูลของเครื่องช่วยฟังว่ามีประโยชน์และการใช้งานอย่างไรแล้ว มั่นใจได้เลยว่าผู้สุงอายุจะไม่กลัวการใช้เครื่องช่วยฟังอีกต่อไป

ใส่หมวกนานๆ แล้วหัวล้าน ชัวร์หรือมั่ว

ใส่หมวกนานๆ ระวังหัวล้าน คำเตือนจากผู้ใหญ่ ที่ได้ยินมานาน ทำไมไส่หมวกนานๆ ถึงจะหัวล้านล่ะ ในเมื่อสมัยนี้วัยรุ่นก็นิยมใส่หมวกกันเป็นแฟชั่นอยู่แล้ว ไม่เห็นเขาจะหัวล้านกันเลย ยังไงกันแน่นะ ความเชื่อนี้จริงหรือเปล่า

การสวมหมวกเป็นประจำ ทำให้หัวล้านจริงหรือไม่ ?

สาเหตุที่หัวล้านเนื่องจากผมร่วง ซึ่งสาเหตุของการผมร่วงนั้นมีหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือการมีเชื้อราบนหนังศีรษะ ซึ่งการใส่หมวกนานๆ ก็อาจทำให้ศีรษะอับชื้นเกิดเชื้อราได้และทำให้ผมร่วง แต่อย่าพึ่งด่วนสรุปไปเพราะการสวมหมวกเป็นประจำไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของเชื้อราบนหนังศีรษะ สาเหตุหลักของเชื้อราที่เกิดขึ้นบนหนังศีรษะนั้นไม่สามารถทราบสาเหตุที่ชัดเจนได้ เพราะอาจจะเกิดมาจากการติดใช้หวีร่วมกับผู้ติดเชื้อที่หนังศีรษะ หรืออุใช้ปกรณ์ทำผมร่วมกันกับผู้ป่วยมากกว่า แต่การสวมหมวกนานๆ เป็นประจำ อาจเป็นเพียงตัวเร่งที่ทำให้เชื้อราบนหนังศีรษะมีมากขึ้น หรืออาจเป็นตัวเร่งให้ผมร่วงมากขึ้นเมื่อเรามีความเสี่ยงที่ผมจะร่วงง่ายอยู่แล้วมากกว่า
ถึงแม้ว่าการสวมหมวกจะไม่ใช้สาเหตุหลักที่ทำให้ผมร่วง แต่การสวมหมวกนานๆ ในสภาพอากาศร้อนๆ เหงื่อท่วมหนังศีรษะ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพผมเรานัก และยิ่งไม่สระผมทำความสะอาดผมแล้ว ยิ่งเสี่ยงต่อการทำให้ผมร่วง

ดังนั้นควรสวมหมวกเมื่อจำเป็น หรือสวมหมวกไม่นานมากจนเกินไป และถ้าหากในวันนั้นมีการใส่หมวก ในวันนั้นควรทำความสะอาดหนังศีรษะ และถึงแม้ไม่ได้ใส่หมวกก็ควรที่จะทำความสะอาดผมเป็นประจำ 2 วันสระ หรือวันเว้นวัน หากสระผมในเวลากลางคืน ก็ให้เป่าผมให้แห้งก่อนนอน หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นมี่เส้นผมและหนังศีรษะ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที ก่อนที่ผมจะร่วงมากจนสายเกินแก้

เมื่อมีโรคภัยหรือโรคไขมันในเลือดสูงมาเยือนควรทำอย่างไรดี

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรคภัยหรือโรค ไขมันในเลือดสูง หรือโรคอะไรต่างๆก็น่ากลัวทั้งนั้นแหละ เพราะคำว่าโรคก็ย่อมไม่มีใครที่อยากเป็นทั้งนั้น แต่ถ้าเราเป็นแล้วเกิดอาการเราควรดูแลอย่างไร อย่างเช่น

ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันนั้น เกิดจากภาวะตับอักเสบขึ้นกับตับอ่อน ทำให้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง มีอาการหมดแรง เวียนหัว อาเจียนร่วมด้วย เพราะตับอ่อนเป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณช่องท้องส่วนกลาง ทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อยและฮอร์โมนบางชนิด รวมไปถึงสารอาหารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ ตับอ่อนอักเสบส่วนใหญ่นั้นเกิดจาก นิ่วในถุงน้ำดี หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ๆติดต่อกัน

ตับอ่อนอักเสบนั้น มักจะไม่มีอาการแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆร่วมด้วย และไม่เป็นอันตรายร้ายแรง ผู้ป่วยสามารถกลับไปหายเป็นปกติได้หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงก็ต้องอยู่ในการควบคุมของหมอ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการักษาต่อไป สิ่งสำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบ คือสาเหตุที่ทำให้เกิด และรักษาป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก

สาเหตุที่ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันนั้น อาจเกิดได้หลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่ 60-75 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี หรือผู้ที่ดื่มเหล้ามาก ๆเป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน ๆ เราสามารถแบ่งออกเป็น 3 สาเหตุใหญ่ๆได้ดังนี้

  1. จากถุงน้ำดี

เนื่องจากตับอ่อนจะใช้ท่อน้ำดีร่วมกัน ดังนั้นนิ่วถุงน้ำดีที่ติดค้างอยู่ในท่อน้ำดี อาจทำให้เอนไซม์และสารที่ผลิตจากตับอ่อนไหลไม่ได้ตามปกติ เกิดการสะสมอยู่บริเวณดังกล่าวตับอ่อนจึงถูกย่อยสลายเอง เกิดเป็นตับอักเสบขึ้นได้

  1. จากแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดนั้น เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันได้ โดยจะพบได้บ่อยในผู้ที่ดื่มสุราเป็ฯระยะเวลานาน ๆติดต่อกัน

  1. ตับอ่อนอักเสบจากยา

จากการรับประทานยา หรือสมุนไพรบางชนิดในปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายจำเป็น ทำให้สารที่ได้รับตกไปรวมอยู่และไม่สามารถกำจัดได้ และเอฟเฟกต์จากตัวยาบางชนิด อาจส่งผลให้ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันได้

ไข้หวัดใหญ่ รู้แล้วต้องกลัว

โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) พบเชื้อที่ทำให้ผู้คนป่วยอยู่ประมาณ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่กลายเป็นระบาดทั่วโลก

• ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล
เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันตั้งแต่รุ่นอดีตแล้ว ซึ่งมีการวิเคราะห์และรักษาโรคกันมานาน แต่เชื้อโรคไข้หวัดใหญ่มีการพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา คนที่เคยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วสามารถกลับมาป่วยได้อีกถ้าเชื้อครั้ง แต่มักจะไม่รุนแรง เพราะมีภูมิคุ้มกันจากการป่วยครั้งก่อนอยู่บ้าง

• ไข้หวัดใหญ่ที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่
ในปัจจุบันเรียกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่หรือสายพันธุ์ 2009 เป็นไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อชนิด H1N1 ที่พัฒนาขึ้นจากเชื้อเดิมมากขึ้น คนส่วนใหญ่จึงไม่มีภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการระบาดหรือ ติดเชื้อเป็นวงกว้าง

วิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
• หลีกเลี่ยงที่ที่มีผู้คนแออัดในช่วงที่มีการระบาด หากต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยด้วยทุกครั้ง
• หมั่นล้างมือให้สะอาด โดยฉพาะก่อนการทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ เน้นล้างด้วยสบู่
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้ป่วย และไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกันผู้อื่น
• ฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อและในกลุ่มผู้มีความเสี่ยง

เหตุใดต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

การฉีดวัคซีนเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ ให้พอป้องกันเชื้อไวรัส ควรฉีดวัคซีนป้องกันสายพันธุ์ที่ระบาดในปีนั้นๆ เพราะเชื้อโรคมีการพัฒนาอยู่ตลอดที่ระบาดในแต่ละปีอาจจะแตกต่างกัน โรคไข้หวัดใหญ่ทำให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนได้ และอาจทำให้โรคประจำตัวของผู้ป่วยกำเริบ

บรรเทาอาการไอให้หายเร็วที่สุด ด้วยวิธีง่ายๆ

เป็นหวัด เป็นหอบหืด คอแห้ง ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นโรคกรดไหลย้อน ภูมิแพ้ สูบบุหรี่ วัณโรค หลอดลมโป่งพอง ไปจนถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการไอ ทั้งไอแห้ง ไอแบบมีเสมหะ หรือไอเรื้อรัง แต่ไม่ว่าจะไอแบบไหน ก็สร้างความรำคาญให้กับเราได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน จนบางครั้งไอจนหน้าดำหน้าแดง แถมไอในที่สาธารณะอย่างบนรถโดยสารก็กลัวคนจะมองค้อน  เข้าใจคุณดี จึงขอแนะนำวิธีบรรเทาอาการไอให้ลดลงโดยเร็วที่สุด ทั้งง่าย และได้ผลแน่นอน

  • ดื่มน้ำให้มากขึ้น
    เริ่มต้นง่ายๆ กับการดื่มน้ำในแต่ละวันให้มากขึ้น ใครที่มีเสมหะในคอ น้ำก็จะช่วยละลายเสมหะให้น้อยลงได้ ส่วนใครที่มีอาการไอแห้งๆ น้ำก็จะช่วยให้ความชุ่มชื้นในลำคอได้ ทำให้มีอาการระคายเคืองภายในคอลดลงเช่นกัน
  • ดื่มน้ำอุ่น
    หากเลือกที่จะดื่มน้ำให้มากขึ้นแล้ว ควรเลือกดื่มน้ำอุ่นแทนการดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นจะช่วยละลายเสมหะ และให้ความชุ่มชื้นภายในลำคอได้ดีกว่าน้ำเย็น นอกจากนี้ยังสามารถเลือกดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งมะนาวระหว่างวันได้เช่นกัน
  • อาบน้ำอุ่น
    ข้างในอุ่นแล้ว ข้างนอกก็ต้องอุ่นด้วย การอาบน้ำอุ่นนอกจากจะช่วยลดน้ำมูกได้แล้ว ยังดีต่อร่างกายของคนที่เป็นหวัด และภูมิแพ้อีกด้วย
  • อมยาแก้ไอ
    อย่าคิดว่าอาการไอจะหายไปได้เองง่ายๆ หากมีอาการไอจนตัวงอ ไอจนเพื่อนข้างๆ รำคาญ ควรรีบหายาแก้ไอมาอมด่วนๆ เพราะในยาแก้ไอจะมีส่วมประกอบที่จะช่วยลดอาการระคายเคืองภายในลำคอได้
  • ใช้เครื่องทำความชื้นในอากาศ
    บ้านไหนที่เปิดเครื่องปรับอากาศนอน ตกกลางคืนอากาศอาจจะแห้งจนทำให้อาการไอแย่หนักไปกว่าเดิม แม้ว่าอากาศในบ้านเราจะค่อนข้างร้อนชื้นอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการระคายเคืองคออยู่แล้ว อากาศแห้งๆ เย็นๆ จะยิ่งทำให้อาการไอเป็นหนักกว่าเดิม และอาจมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย ดังนั้นหากใช้เครื่องทำความชื้นภายในห้องนอน ก็จะช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองคอได้

Note : เครื่องทำความชื้น เป็นเครื่องที่เสียบปลั๊กแล้วมีไอน้ำพุ่งออกมา สามารถเพิ่มความชื้นในอากาศภายในห้องได้ (โรงพยาบาลบางแห่งจะมีเครื่องเพิ่มความชื้นในห้องผู้ป่วย) จะกลิ่นหอมๆ หรือไม่มีกลิ่นก็ได้ แล้วแต่คนชอบ แต่หากเลือกกลิ่นที่ช่วยให้หลับดี เช่น กลิ่นดอกคาโมมายด์ กลิ่นลาเวนเดอร์ ก็จะช่วยให้เรานอนหลับง่าย พักผ่อนได้เต็มที่ไปด้วย

 

  • งดสูบบุหรี่
    ใครที่สูบบุหรี่ควรงดการสูบบุหรี่ในช่วงที่มีอาการไอเด็ดขาด เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้ระคายเคืองคอมากยิ่งขึ้น และยังอาจทำให้มีเสมหะมากขึ้นได้อีกด้วย (แต่อยากจะแนะนำให้เลิกสูบบุหรี่ไปเลยจะดีกว่า เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคหลอดลมโป่งพอง และโรคอันตรายอื่นๆ อีกมากมาย)

หากคุณไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่ ก็ควรอยู่ให้ไกลห่างจากผู้ที่สูบบุหรี่ หรือกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ด้วยเช่นกัน

  • งดใช้น้ำหอม สเปรย์ต่างๆ
    ส่วนประกอบของน้ำหอม และสเปรย์ต่างๆ (รวมถึงสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ) การทำให้โพรงจมูกมีอาการระคายเคืองได้ และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเสมหะเพิ่มมากขึ้น หรือไอเรื้อรังได้

หลีกเลี่ยงฝุ่น ควันต่างๆ
นอกจากน้ำหอม และสเปรย์แล้ว อากาศรอบตัวอย่างอากาศแห้งๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงาน ฝุ่นควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ ควันจากการทำอาหาร มลพิษทางอากาศเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองในโพรงจมูก และลำคอได้ ดังนั้นขณะที่มีอาการไอ ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองจากมลพิษทางอากาศเหล่านี้ด้วย

  • นอนพักผ่อนให้มากขึ้น
    ส่วนใหญ่แล้ว อาการไอที่แย่ลงเรื่อยๆ หรือหายช้า เป็นเพราะร่างกายไม่มีเวลาที่จะซ่อมแซมตัวเอง เพราะเราใช้ร่างกายของเราหนักเกินไปจนพักผ่อนน้อยนั่นเอง ดังนั้นหากรู้ตัวว่าป่วย ไอหนักมาก ควรรีบเข้านอนแต่หัววันตั้งแต่อากาศยังไม่เย็นมากจนเกินไป และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • พบแพทย์
    ทางสุดท้ายที่จะเพิ่งได้ คือการพบหมอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะอาการไอที่เราเป็นมานาน ทำทุกอย่างแล้วก็ไม่หาย อาจจะไม่ใช่อาการไอธรรมดาๆ โดยอาการไออาจจะเป็นเพียงอาการเบื้องต้น ที่เป็นสัญญาณเตือนถึงโรคอันตรายอื่นๆ ได้ ดังนั้นการพบแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับใครก็ตามที่อาการไอไม่ดีขึ้นเลยภายใน 1-2 สัปดาห์

สะอึกบ่อย แก้อย่างไร

หลายๆ ท่านคงจะมีประสบการณ์ในการ “สะอึก” มาบ้างแล้ว และทราบดีว่าการที่จะทำให้หยุดสะอึกอย่างจงใจนั้นไม่สามารถจะกระทำได้ การสะอึก (hiccup) เป็นอาการที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองโดยไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดการหายใจเอาอากาศเข้าไปก่อน และจะหยุดหายใจเข้านั้น ทันทีทันใด เนื่องจากทางเข้าหลอดลมจะปิด ทำให้เสียงดังของการสะอึกเกิดขึ้นทุกครั้งไป

อาการสะอึกเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอด และช่องท้องที่เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้นเส้นประสาท 2 เส้น คือ เส้นประสาทเวกัส vagus nerve และเส้นประสาทฟรีนิก phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยเสียงสะอึกที่เกิดขึ้นมาจากการหายใจออกขณะที่กะบังลมเกิดการกระตุกทันทีทันใด ทำให้เกิดเสียงดังของการสะอึกขึ้น อาการสะอึกอาจเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ และหายไปได้เอง อาจใช้เวลาเป็นวินาทีหรือ 2-3 นาที ซึ่งอาจพบได้บ่อยๆ แต่ถ้าหากสะอึกอยู่นานๆ เป็นครั้งค่อนชั่วโมงหรือเป็นวันๆ อาจจะต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสะอึกที่เกิดขึ้นในขณะนอนหลับจะมีความหมายมากกว่าการสะอึกในเวลากลางวัน

กลไกการสะอึก

ขณะที่หายใจเข้า กะบังลมที่อยู่ตอนล่างของช่องอกจะเคลื่อนลงล่าง ทำให้ปอดขยายตัว และดึงดูดให้อากาศเข้าปอด
กะบังลมเกิดการกระตุก ทำให้ลมหายใจตีกลับขึ้นข้างบน ขณะที่ลิ้นกล่องเสียงปิด ตัดกระแสลม ทำให้เกิดเสียงสะอึกขึ้น
ในที่สุดลิ้นกล่องเสียงเปิด กะบังลมคลายตัว และลมหายใจออกจากปอด
แม้ว่ากลไกการเกิดการสะอึก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาการนี้อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติชนิดหนึ่ง โดยศูนย์กลางของการสะอึกจะอยู่บริเวณก้านสมองบริเวณเมดัลลา แล้วเชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้นด้วยเส้นประสาทเวกัสและเส้นประสาทฟรีนิก

5 วิธีออกกำลังกายอย่างไร ให้เผาผลาญเยอะ

1. วิ่ง วิธีออกกำลังกายลดน้ำหนักยอดฮิตก็มีการวิ่งที่ติดอันดับต้น ๆ เพราะเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่รีดไขมันได้ทุกส่วน แถมไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากมาย วิ่งได้ทั้งในและนอกสถานที่อีกด้วย ฉะนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก สวมรองเท้าวิ่งให้พร้อม แล้วออกสตาร์ทวิ่งไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดพัก ต่อเนื่องกันให้ถึง 30 นาที โดยวิ่งในอัตราความเร็วที่ 12 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็รีดไขมันไปเลย 500 กิโลแคลอรีเต็ม ๆ

2. ออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อ (Strength Training) ยกตัวอย่างเช่น การสควอท วิดพื้น เล่นเวท หรือซิทอัพ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายเพื่อช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำให้ไขมันและน้ำตาลที่แอบซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อถูกดึงออกมาเผาผลาญให้เป็นพลังงาน แล้วก็โชว์กล้ามเป็นมัด ๆ แทนไขมันพอกพูน และก็แน่นอนค่ะว่าการเล่นเวทเพียง 30 นาที พัก 30 วินาทีต่อเซต จะช่วยเบิร์นไขมันได้ถึง 500 กิโลแคลฯ ได้อยู่แล้ว

3. ออกกำลังกายแบบ Interval Training
ถ้าคิดว่าการออกกำลังกายแบบเดิมช่วยเผาผลาญไขมันได้น้อย แถมยังใช้เวลานาน ก็ลองเปลี่ยนมาออกกำลังกายแบบอินเทอร์วอลดูบ้างก็ได้ค่ะ เช่น แทนที่จะวิ่งในอัตราความเร็วเท่า ๆ กันนาน 1 ชั่วโมง เราก็วิ่งอัตราปกติสลับกับวิ่งเร็ว ๆ เพิ่มความเข้มข้นในการออกกำลังสัก 1-2 นาที จากนั้นค่อยลดความเร็วมาในระดับปกติ ทำอย่างนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ จากที่ต้องวิ่งนานเป็นชั่วโมงเพื่อให้เบิร์นได้มากขึ้น คราวนี้ก็จะใช้เวลาเพียงแค่ 30 นาที แต่เผาผลาญได้มากกว่า

4. ว่ายน้ำ นับเป็นการออกกำลังกายที่ดึงพลังงานไปใช้ได้เยอะมาก ๆ อีกวิธีหนึ่ง ทั้งการว่ายน้ำยังดีต่อผู้ที่ไม่สะดวกจะวิ่ง หรือออกกำลังกายที่ต้องใช้ข้อต่อมาก ๆ เนื่องจากมีปัญหาเจ็บข้อเจ็บเข่า ดังนั้นหากกำลังมองหาวิธีเผาผลาญไขมันที่ดีและรวดเร็ว แนะนำให้ว่ายน้ำต่อเนื่อง 30 นาที ซึ่งจะช่วยเบิร์นได้ 500 กิโลแคลอรี

5. ปั่นจักรยาน
สายปั่นทั้งหลายต้องอ่านให้ดี ๆ เชียวค่ะ เพราะการปั่นจักรยานเพื่อเบิร์นไขมันได้ 500 กิโลแคลอรีภายใน 30 นาทีนั้น ทางมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็เผยว่า ควรต้องปั่นจักรยานด้วยระดับความเร็วประมาณ 25-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงจะเผาผลาญไขมัน 500 กิโลแคลอรีได้สำเร็จ ทว่าหากเพิ่มระดับความเข้มข้น คือปั่นแบบสปรินท์ประมาณ 1.25 นาที สลับกับปั่นปกติไปแบบนี้เรื่อย ๆ หรือปั่นจักรยานขึ้นทางชัน แบบนี้ก็จะช่วยเผาผลาญได้มากขึ้นอีกพอตัวเลยจ้า

แม้วิธีลดน้ำหนักที่ดีจะสำเร็จได้เพราะการควบคุมอาหารเป็นส่วนใหญ่ ทว่าการออกกำลังกายเผาผลาญไขมันในร่างกายควบคู่กันไปก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่อย่างไรก็ดี ใจความหลัก ๆ ในการลดน้ำหนักและได้สุขภาพดี ๆ คือต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดสารอาหาร

อาหาร เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับร่างกาย เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานในการหล่อเลี้ยงชีวิต ดังนั้นการทานอาหารไม่ใช่ว่าแค่เพื่อให้อิ่มในแต่ละมื้อเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงคุณค่า สารอาหารที่ร่างกายต้องการและการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย เพื่อนำไปใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้หาทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ก็จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ ซึ่งก็จะมีผลเสียตามมามากมายเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นมาดูกันดีกว่าว่า เมื่อร่างกายขาดสารอาหาร จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

สาเหตุของการขาดสารอาหาร

การขาดสารอาหาร อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้

1.อาหารที่ทานในแต่ละมื้อมีสารอาหารน้อยเกินไป อาจจะมีสาเหตุมาจากการปรุงที่ผ่านความร้อนนานเกินจนเสียคุณค่าสารอาหารและวิตามิน

2.การดูดซึมสารอาหารของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในกลุ่มสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตรจะต้องการวิตามินและแร่ธาตุมากกว่าปกติ ในกลุ่มนักกีฬาก็จะต้องการเกลือแร่และวิตามินมากกว่าคนทั่วไป

3.การรับประทานอาหารบางอย่างที่มีผลรบกวนต่อการดูดซึม หรือทำลายวิตามิน เช่นคนที่ชอบดื่มชา กาแฟก่อนทานอาหาร จะทำให้สารแทนนินเข้าไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารของลำไส้เล็ก

สำหรับอาการหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้น เมื่อร่างกายของคุณ ขาดสารอาหารก็มีดังนี้

1.ผมร่วง

เมื่อร่างกายขาดสารอาหาร ทำให้เส้นผมได้รับอาหารไม่เพียงพอจึงเกิดอาการผมร่วง ไม่เงางามได้ ซึ่งก็ป้องกันได้ด้วยการทานอาหารประเภทโปรตีน เสริมธาตุเหล็กจากการทานผักใบเขียวและตับ วิตามินต่างๆจากธัญพืชและผัก เป็นต้น

2.อาการคันตามผิวหนัง

ผิวหนังแห้ง ตกสะเก็ด ลอกและมีอาการคัน ก็เป็นอาการของภาวะขาดสารอาหารเช่นกัน ซึ่งควรทานอาหารที่มีวิตามินอีสูง เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดทานตะวัน เพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นมากขึ้น

3.กระดูกพรุน

ภาวะกระดูกพรุน บาง เกิดจากการขาดแคลเซียม ควรเสริมด้วยการทานปลาตัวเล็กตัวน้อย งา ชีส นม เต้าหู้ ไข่แดง บล็อคโคลี และหมั่นออกเดินรับแสงแดดอ่อนๆยามเช้าเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดี ตามธรรมชาติเพื่อช่วยเสริมสร้างกระดูก

4.หลงลืมง่าย

การหลงลืมง่าย เกิดจากการขาดวิตามินบีรวม ซึ่งพบได้ในธัญพืช ถั่ว จมูกข้าว ผักใบเขียว น้ำมันปลา

5.เหนื่อยง่าย

อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเกิดจากร่างกายขาดวิตามินบี ธาตุเหล็ก และธาตุอาหารอื่นๆ สามารถทานธัญพืชต่างๆ รวมถึงผัก ผลไม้ ไข่แดง และนมเพื่อลดอาการเหนื่อยล้าได้

ภาวะขาดเกลือแร่และวิตามินตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นอาการของผู้ที่โภชนาการไม่สมดุล เมื่อคุณหรือบุคคลในครอบครัวมีอาการดังกล่าว ควรได้รับการดูแล ปรับปรุงมื้ออาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นวิตามิน และเกลือแร่บำรุงในส่วนที่ขาด ควบคู่กับการออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมามีสุขภาพดีโดยเร็ว